ทำเอาหงอยไปทั้งอเวจีเลยทีเดียว เมื่อเหล่าขุนพลอสูรถอนทัพกลับมาจากสมรภูมิ “โรม” ด้วยสภาพสะบักสะบอม แถมเปลี่ยนสถานะ “แชมป์เก่า” เป็นเพียง “รองแชมป์” ในชั่วข้ามคืน หมดโอกาสเป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” ได้สำเร็จ แถมส่งโอกาสนั้นไปสู่มือ “บาร์เซโลน่า” ทันที
เหล่าบรรดาแฟนผีในฐานะผู้แพ้ต่างเต็มใจจะช้ำด้วยความสมัครใจ และยอมรับอย่างเต็มปากว่า ขุนพลคาตาลัน คู่ควรกับตำแหน่งสูงสุดอย่างแท้จริง เมื่อผลงานในสนามกระแทกตาออกขนาดนั้น หลังขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม บาร์ซ่า ก็ครองเกมไว้ได้ทั้ง 80 นาทีที่เหลือ โดยมีคู่หูกระทิงเปลี่ยว “อันเดรส อิเนียสต้า” กับ “ชาบี เอร์นานเดซ” เปิดคอร์ดลิงชิงบอลกันอย่างสบายใจ
แต่ถึงกระนั้น เชื่อแน่ว่าก่อนที่ “มัสซิโม บูซัคก้า” จะเป่านกหวีดยาว สาวกปีศาจหลายคนยังมองเห็นโอกาสขึ้นมาจากหลุม เมื่อทั้ง “คาร์ลอส เตเบซ และ “ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ” ถูกอัญเชิญลงสู่สนาม ทำให้อดนึกถึง “โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์” กับ “เท็ดดี้ เชอริงแฮม” เมื่อ 10 ปีก่อนไม่ได้ เสียอย่างเดียวที่คราวนี้ไม่มีคนโยนลูกเตะมุมที่ชื่อ “เดวิด เบ็คแฮม”
กับความพ่ายแพ้ที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเสียบอลง่าย เช่นความคิดของ “เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์” ไม่ว่าจะเป็นเพราะแนวรับแย่ ตามคำให้การของ “ริโอ เฟอร์ดินานด์” ไม่ว่าจะเป็นแท็กติกผิดพลาด อย่างอาการปากเปาะของ “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” หรือจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม แต่นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีในการช่วยให้บรรดานักเตะวัยเอ๊าะได้เรียนรู้กับความผิดหวัง และยังช่วยยืนยันอีกครั้งว่า “การรักษามาตาฐาน” สำคัญขนาดไหน เคยชนะเขาไว้ ใช่ว่าเขาจะไม่มีทางแก้แค้นคืน
แพ้! …ไม่มีใครสอนให้มองเห็น ต้องล้มเอง รับเอง แพ้เอง รู้เอง ถึงจะค่อยๆ เข้าใจ
แม้สุดสายปลายฝันจะขมขื่น แต่หากมองย้อนไปดูตลอดทางที่เดินมา จะรู้ว่ามันช่างหอมหวานขนาดไหน “แชมป์สโมสรโลก” ที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปแบกมาจากเมืองลุงยุ่น “แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ” ที่ช่วยฉายแววผู้รักษาประตูมือหนึ่งในอนาคต และที่สำคัญ “แชมป์พรีเมียร์ ลีก” สมัยที่ 11 หลังตรากตรำมาตลอด 10 เดือน
“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” เปิดตัวบนสังเวียนพรีเมียร์ ลีก ได้อย่างกระท่อนกระแท่น พ่ายให้กับ “ลิเวอร์พูล” ตั้งแต่หัววัน จนหล่นไปถึงอันดับที่ 15 แถมยังต้องมองคู่อริจับจองหัวตารางตลอดต้นซีซั่น ก่อนจะมาใส่เกียร์ 5 ทวงบัลลังจ่าฝูงคืนได้สำเร็จเมื่อล่วงเข้าศักราชใหม่ และรักษาตำแหน่งไว้ได้จนจบ
กลายเป็นทีมเดียวบนเกาะอังกฤษ ที่สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดติดต่อกัน 3 สมัยได้ถึง 2 ครั้ง
แม้ยอดทีมจากแคว้นแมนเชสเตอร์ จะเป็นเจ้าของสัมปทานแชมป์ลีกสูงสุดมาเกือบ 2 ทศวรรษหลัง แต่ด้วยบุญเก่าที่ทำไว้ถึง 18 หน ก็ยังคงเกื้อหนุนให้ทีมจากลุ่มน้ำเมอร์ซี่ย์เชิดหน้าชูตาในฐานะ “จ้าวลูกหนังแห่งเกาะอังกฤษ” อย่างมั่นอกมั่นใจ ถึงจะห่างหายจากความสำเร็จมานานขนาดไหนก็ตาม
แต่สำหรับปีนี้ พรีเมียร์ ลีก 11 สมัย เมื่อรวมกับ ดิวิชั่น 1 โบราณ อีก 7 สมัย ก็เพียงพอที่จะส่งปีศาจแดงขึ้นไปร่วมใช้ตำแหน่งสูงสุดกับอริหมายเลข 1 อย่างไร้ข้อกังขา แต่เป็นจ้าวลูกหนังแห่งเกาะอังกฤษในยุคปัจจุบันตัวจริงเสียจริง
นี่จึงเป็นฤดูกาลที่ควรค่าแก่การภูมิใจยิ่ง!!
“เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” เคยให้ปากคำไว้ครั้งหนึ่ง ‘ไม่เคยคิดว่าจะพา ยูไนเต็ด มาได้ไกลถึงขนาดนี้’ ไม่เพียงท่านเซอร์ คนเดียวแน่ที่คิดเช่นนั้น แม้แต่บอร์ดบริหารในสมัยนั้นก็คงไม่คิดเช่นกันว่ากุนซือจากอเบอร์ดีน จะนำความสำเร็จมาสู่สโมสรอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และเชื่อแน่ว่าคนอย่างกุนซือชาวสก๊อตก็ไม่คิดที่จะใช้ของร่วมกับใครนานๆ เช่นกัน
ต้องรอคอยมาถึง 26 ปี…แชมป์จึงกลับสู่อ้อมอกอีกครั้ง
ต้องปล่อยให้คู่แข่งครอบแชมป์ไป 18 สมัย…ถึงค่อยเริ่มสะกดแชมป์สมัยที่ 8
ยูไนเต็ด…ผ่านมาเยอะ เจ็บมาเยอะ นี่จึงเป็นแค่อีกครั้งของความล้มเหลว ล้มเพื่อลุกขึ้นใหม่
ชนะนั้นคงไม่ยิ่งใหญ่ ถ้าคำว่าแพ้นั้นยังไม่เข้าใจ
chokechone11
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC